เรื่องของ iPhone
วันอังคารที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2556
คณะการบัญชีและการจัดการ
คณะการบัญชีและการจัดการ
ข้อมูลคณะ
เกี่ยวกับ คณะการบัญชีฯ
ประวัติ คณะการบัญชี ฯ
ปรัชญา ปณิธาน
คณะกรรมการอำนวยการ
สาส์นคณบดี คณะการบัญชีและการจัดการ
คณะการบัญชีและการจัดการ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม มีภารกิจหลักในการผลิตบัณฑิต มหาบัณฑิต และดุษฎีบัณฑิต ในสาขาวิชาบริหารธุรกิจ และเศรษฐศาสตร์ออกไป รับใช้สังคม โดยมุ่งมั่นคุณภาพของบัณฑิตให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด ตลอดระยะเวลา 10 ปี คณะฯ ได้ดำเนินการพัฒนาด้านหลักสูตร การเรียนการสอน การวิจัย การบริการวิชาการแก่สังคม ทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมและปลูกฝังแนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนาบุคลิกภาพ ค่านิยมที่ดีงามและจริยธรรมแก่นิสิตอย่างแข็งขันตลอดมา เพื่อมุ่งสู่คุณภาพที่ เป็นหนึ่งเป็นที่ยอมรับของตลาดผู้ใช้แรงงานบัณฑิตโดยทั่วไป
ปัจจุบัน คณะการบัญชีและการจัดการ มีนิสิตจำนวนกว่า 9,000 คน มีคณาจารย์จำนวนกว่า 140 คน รวมทั้งมีเจ้าหน้าที่กว่า 40 คน มีหลักสูตร
จำนวน 21 หลักสูตร ตั้งแต่ระดับปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก รวมถึงหลักสูตรนานาชาติที่มีนิสิตต่างชาติให้ความสนใจเข้ามาศึกษากว่า 120 คน จากหลายประเทศ
ทั้งนี้ คณะฯ ตระหนักในความสำคัญของนิสิต ซึ่งเป็นผู้ใช้บริการที่สำคัญยิ่งของคณะฯ นิสิตเป็นผู้รับบริการเพิ่มพูนความรู้เพื่อนำไปประกอบอาชีพ มีรายได้ที่ดีในการเลี้ยงชีพตนเองและครอบครัวในอนาคต การเรียนการสอนในคณะจึงเน้นที่ตัวผู้เรียนเป็นสำคัญ และมุ่งเน้นพัฒนาทักษะในวิชาชีพ คุณลักษณะเฉพาะของบัณฑิตให้ตรงตามความต้องการของผู้ใช้บัณฑิต รวมถึงการยึดมั่น ในการสร้างความพึงพอใจแก่นิสิตผู้รับบริการให้เรียนอย่างมีความสุข และมีความหวังใน การประกอบอาชีพต่อไปในอนาคต
วัยรุ่น กับ การมีเพศสัมพันธ์
วัยรุ่น กับ การมีเพศสัมพันธ์
ศ.พญ.นงพงา ลิ้มสุวรรณ/จากหนังสือคู่มือ เลี้ยงลูกถูกวิธีชีวีเป็นสุข”
14 กุมภาพันธ์ ของทุกปี เป็นวันวาเลนไทน์ ซึ่งหลายคนก็บอกว่าเป็นวันแห่งความรัก และมีค่านิยมบางอย่างของวัยรุ่นบางคนที่ใช้วันแห่งความรักเป็นวันแห่งการ "เสียตัว" หรือการมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งในสังคมไทยหรืออีกหลายประเทศถือว่ายังเป็นช่วงวัยที่ยังไม่ถึงเวลาอันควร เป็นปัญหาที่สร้างความหนักอกให้กับบรรดาคุณพ่อคุณแม่ทั้งหลายเป็นอย่างยิ่งกับค่านิยมดังกล่าว เพราะจะทำให้เกิดปัญหาตามมาอีกมากมายโดยเฉพาะปัญหาทางด้านสุขภาพจิตและจิตเวชที่หลายคนไม่อาจคาดเดาได้
บทความที่จะนำเสนอต่อไปนี้ ได้รับความอนุเคระห์จากผู้ทรงคุณวุฒิทางด้านจิตเวชเด็กและวัยรุ่นของประเทศไทย คือท่าน ศ.พญ.นงพงา ลิ้มสุวรรณ ที่ได้กรุณาทีมงานกรมสุขภาพจิต มอบบทความอันทรงคุณค่าสำหรับประชาชนหลายคนที่สนใจติดตามบทความของอาจารย์อย่างมากมาย ทางเวปป์ไซด์กรมสุขภาพจิต (ซึ่งดูได้จากเรตติ้งการอ่านสูงสุดอันดับต้นๆหลายบทความ) สำหรับนำเสนอต่อประชาชนที่สนใจข้อมูลข่าวสารด้านสุขภาพจิตและจิตเวช เรื่อง "วัยรุ่น กับ การมีเพศสัมพันธ์"
ท่านที่สนใจข้อมูลเพิ่มเติมสามารถอ่านได้จาก หนังสือคู่มือ
“เลี้ยงลูกถูกวิธีชีวีเป็นสุข”
ได้ค่ะ
เพศสัมพันธ์ เพศสัมพันธ์ เพศสัมพันธ์
เป็นคำที่ต่างเพศต่างวัยต่างสถานการณ์ ฟังแล้วรู้สึกไปได้หลายแบบหลายอย่างจนแทบไม่น่าเชื่อ ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องธรรมชาติของคนเรา เป็นเรื่องที่คู่กับคนมาตั้งแต่มีคนเกิดขึ้นในโลกนี้คู่แรก จนขณะนี้คนก็สืบพันธุ์แพร่ขยายจนพลเมืองโลกมีประมาณ 6 พันล้านแล้ว ทำไมเพศสัมพันธ์จึงยังเป็นอะไรที่ไม่เข้าที่เข้าทางหรือทำไมคนทั้งโลกจำนวนไม่น้อยเลยยังไม่สามารถมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ให้เกิดปัญหากับตัวเอง ไม่ทำให้ตัวเองเดือดร้อน เป็นทุกข์ใจทุกข์กาย หรือเหตุใดคนจำนวนหนึ่งยังคงมีเพศสัมพันธ์อย่างไม่เหมาะสม คือไม่เพียงแต่จะทำความเดือดร้อนใจและกายอย่างแสนสาหัส เหมือนแต่โบราณมาเท่านั่น เพศสัมพันธ์ในปัจจุบันยังอาจนำไปสู่ความตายได้ เช่น ตายจากโรคเอดส์ ตายจากการฆ่ากันด้วยความแค้น ความหึงหวง ความตาย! ใครๆ ก็กลัว ใครๆ ก็ไม่อยากตาย ทุกคนจึงน่าจะหันมาสนใจเรื่องเพศสัมพันธ์ให้มากจะได้ไม่เดือดร้อน จะได้ไม่ต้องตายโดยไม่จำเป็น เพราะทุกชีวิตที่เกิดมาแล้วกว่าจะฝ่าฟันชีวิตจนโตพอที่จะมีเพศสัมพันธ์ได้ก็นับว่าเป็นชีวิตที่แสนจะมีค่า เราจึงต้องทะนุถนอมชีวิตและจิตใจของเราเองเพื่อตัวเรา เพื่อคนที่เรารัก และเพื่อคนที่รักเรา และเพื่อคนที่รักเราด้วยจึงน่าจะเป็นสิ่งที่ดีงามและสบายใจด้วยกันทั้งหมด
ผู้เขียนเป็นจิตแพทย์จึงมีโอกาสพบเห็นวัยรุ่นที่เดือดร้อนจากเรื่องเพศสัมพันธ์มาเล่าให้ฟัง เช่น
วัยรุ่นหญิงคนหนึ่ง ซึ่งเรียนอยู่ ปวช. ปีสุดท้ายได้กินยาจำนวนมากเพื่อฆ่าตัวตาย หนีปัญหาชีวิตเพราะความเครียดจัด และมองไม่เห็นทางออกอย่างอื่น คงโชคดีสักนิดที่วิธีฆ่าตัวตายไม่รุนแรง แพทย์จึงช่วยชีวิตไว้ได้เพราะยาที่กินบังเอิญสามารถแก้ฤทธิ์ได้ แต่ยาบางชนิดที่กินโดยผู้พยายามฆ่าตัวตายบางคนแพทย์จะช่วยไม่ได้ ผู้เขียนจึงถูกตามเพื่อช่วยแก้ปัญหาของเด็กสาวผู้นี้ ไม่เช่นนั้นถ้าแพทย์ปล่อยให้เธอกลับบ้านทั้งๆ ที่ยังแบกปัญหาอยู่ เด็กสาวผู้นี้อาจกลับไปฆ่าตัวตายซ้ำอีกได้
จากการสัมภาษณ์พูดคุยพบว่า วัยรุ่นผู้นี้ท้องถึง 6 เดือนกว่าแล้ว แฟนหนุ่มซึ่งเป็นนักเรียนเช่นกันไม่ยอมรับรู้ใดๆ ทั้งสิ้น ทำตัวหายหน้าหายตาไปเลย หลบเลี่ยงไม่ยอมมาพบเจอทั้งสิ้น ฝ่ายหญิงก็พยายามหาทางออกโดยบุกบั่นไปถึงบ้านพ่อแม่ของแฟนหวังพึ่งผู้ใหญ่ให้ช่วยแก้ปัญหา แต่เธอกลับได้รับความช้ำใจยิ่งนัก เพราะพ่อแม่แฟนกลับบอกว่าจะมั่นใจได้อย่างไรว่าเธอท้องกับลูกชายของเขา เธออาจไปท้องกับใครมาก็ได้แล้วจะมาให้ลูกชายเขารับเป็นพ่อ เธอจึงเสียใจมากที่ถูกดูถูกเหยียดหยาม ในที่สุดท้องก็โตขึ้นทุกวันไม่สามารถจะปิดบังได้อีกต่อไป จึงตัดสินใจนำเรื่องไปปรึกษาพ่อแม่ตัวเอง พ่อแม่ของเธอก็เช่นกันไม่เป็นที่พึ่งได้กลับด่าว่าลูกสาวตัวเองมากมาย เช่น แม่ว่าส่งให้เรียนหนังสือ ทำไมใจง่ายไปเที่ยวนอนกับผู้ชายจนท้อง ไม่รักดี ใจง่าย โง่ ปล่อยให้ผู้ชายหลอก “ฟัน” เล่นๆ แล้วสลัดทิ้งแบบไม่ใยดี แบบไม่มีค่าอะไรเลย พร้อมบอกว่าพ่อแม่ไม่รู้จะแก้ปัญหาอย่างไร ผูกเองก็แก้เอง ถ้าปล่อยให้ท้องก็ไม่ต้องเรียนหนังสือต่อแล้ว พ่อแม่จะไม่ส่งเรียนต่อ ถ้าจะเรียนก็ต้องไม่ท้อง พ่อแม่เองก็ฐานะไม่ดีมากเงินทองก็มีจำกัด ถ้าปล่อยให้ท้องต่อก็ไม่มีปัญญาจะเลี้ยงหลานให้ คือไม่ต้องการเด็กในท้องอย่างแน่นอน
วัยรุ่นสาวผู้นี้อายุยังไม่ครบยี่สิบปี ยังมีความอ่อนต่อโลกมากนัก เมื่อพบความเครียด ความทุกข์ ปัญหาหนักขนาดนี้ หันหน้าไปไหนก็ไม่มีใครช่วย แม้กระทั่งพ่อแม่ตัวเองก็ไม่ช่วย จึงรู้สึกสับสน เสียใจ ผิดหวังซ้ำซ้อน ไม่มีทางออกจึงคิดจบปัญหาด้วยความตายนั่นเอง เพราะจะไปทำแท้งก็ไม่มีเงินพอ อีกทั้งท้องก็มีอายุมากเกินกว่าจะทำแท้งได้แล้ว อันตรายเกินไป
จิตแพทย์ฟังแล้วสามารถเข้าใจถึงความกดดันที่เด็กสาววัยรุ่นผู้นี้ได้รับ จึงคิดปรึกษาหาทางออกด้วยกันว่าเธอไม่จำเป็นต้องทำลายชีวิตตัวเองและลูกเพื่อแก้ปัญหา เพราะมีมูลนิธิที่สังคมได้ตั้งขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือเรื่องแบบนี้โดยเฉพาะ เธอสามารถไปอาศัยอยู่ที่นั่นจนกระทั่งคลอดลูก แล้วทางมูลนิธิจะรับเลี้ยงลูกให้จนกระทั่งหาพ่อแม่ที่จะมารับไปเป็นลูกบุญธรรมต่อไป ส่วนตัวแม่เองหลังคลอดพักฟื้นแล้วก็สามารถกลับไปเรียนต่อจนจบได้ เรื่องจึงลงเอยได้ด้วยดีพอประมาณ แต่วัยรุ่นทุกคนที่มีเพศสัมพันธ์แบบไม่เหมาะสมอาจประสบชะตากรรมร้ายแรงกว่าคนนี้ เช่น พอพบว่าท้องก็ไปพยายามทำแท้งกับหมอเถื่อน ซึ่งมีโอกาสจะติดเชื้อโรคแล้วตายจากการติดเชื้อ ซึ่งพบอยู่เป็นประจำเพราะหมอเถือนเขาทำไม่ถูกต้องเครื่องมือก็สกปรก บางครั้งก็ทำมดลูกทะลุก็มี น่ากลัวจริงๆ
วัยรุ่นตัวอย่างที่หมอเล่าให้ฟังนี้ ไม่ใช่จะพ้นปัญหาไปอย่างไม่เหลืออะไรติดค้างในใจเพราะลึกๆ เขาอาจรู้สึกบาป ที่ได้ทอดทิ้งลูกตัวเองไป อาจรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนไม่ดี ฉะนั้นในอนาคตถ้าชีวิตต้องเผชิญอะไรไม่ดี เธออาจคิดผูกโยงมากับเรื่องที่เกิดขึ้นได้ว่า เพราะเธอทำบาปไว้จึงต้องประสบชะตากรรมไม่ดี คิดในทำนองกรรมตามสนอง แม้ในการให้คำปรึกษา จิตแพทย์จะพยายามให้ความคิดเหล่านี้ไม่ตกค้างต่อไป เช่น พูดว่าความผิดพลาดของชีวิตย่อมเกิดขึ้นได้ และการแก้ปัญหานั้นก็ดีที่สุดสำหรับทุกคนที่เกี่ยวข้องแล้ว ลูกที่มีคนรับไปเลี้ยง เขาก็จะมีชีวิตที่ดีกว่า เพราะเราไม่พร้อมจะเลี้ยงเขา และเขาไม่เป็นที่ยอมรับของปู่ย่าตายายและพ่อของตัวเอง จึงน่าจะปล่อยเขาไปมีชีวิตที่ดีกว่ากับคนที่พร้อมกว่า กับคนที่ยอมรับเขาและรักเขา แม่ที่ยกลูกให้คนอื่นมักจะยังมีความทรงจำเรื่องนี้อยู่ ทำอย่างไรก็ไม่สามารถจะลืมเรื่องราวเหมือนกับมันไม่เคยเกิดขึ้นได้ แต่จะทำใจได้แค่ไหนนั้นเป็นอีกเรื่อง ดังนั้นทางที่ดีที่สุดคืออย่าให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นจะดีกว่ามาก จะได้ไม่มีตราบาปในใจไปตลอดชีวิต
ญาติรุ่นพี่ของหมอคนหนึ่งอยู่ต่างจังหวัดซึ่งเป็นคนหัวดีเรียนเก่ง แต่พ่อแม่ไม่ยอมให้มาเรียนต่อกรุงเทพฯ ด้วยกลัวลูกสาวจะมาเสียคนเพราะห่างไกลพ่อแม่ เนื่องจากลูกสาวข้างบ้านมาเรียนที่กรุงเทพฯ แล้วก็มาท้องตอนเป็นนักเรียนนี่แหละที่ทำให้เขากลัวญาติผู้นี้ของหมอเลยหมดโอกาสที่จะได้รับการศึกษาที่ดีเท่าที่ควร ต้องใช้ชีวิตแบบหญิงชาวบ้านที่จบประถม 4 คือต่อมาก็แต่งงานมีลูกเลี้ยงลูกไปทำงานบ้านไป ชีวิตของเขาต้องขึ้นอยู่กับสามีและลูก ถ้าสามีและลูกดีชีวิตก็ดีไม่มีปัญหา ถ้าเจอสามีและลูกไม่ดีก็ต้องช้ำใจ ไม่มีทางเลือกอื่นเหลือไว้ให้มากนัก
การให้ความรู้กับลูกเรื่องเพศจึงเป็นเรื่องสำคัญ ควรให้ตั้งแต่เด็กเลย (ขอเชิญผู้สนใจหาอ่านได้จากหนังสือของหมอชื่อ
“เลี้ยงลูกถูกวิธีชีวีเป็นสุข”
ในบท สอนลูกเรื่องเพศ) แต่ในที่นี้จะพูดเฉพาะในวัยรุ่น
แผนที่ของสมอง
แผนที่ของสมอง
โดย DMH Staffs กรมสุขภาพจิต
แผนที่ของสมอง (The Map of The Brain)
โดยทั่วไปอวัยวะทุกส่วนในร่างกายมีหน้าที่การทำงานที่เด่นชัด และส่วนใหญ่ก็ทำงานเฉพาะด้านใดด้านหนึ่ง มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่อวัยวะหนึ่งๆอวัยวะใดจะทำหน้าที่หลายอย่าง เช่น หัวใจก็เป็นที่แน่นอนว่าทำหน้าที่ปั๊มโลหิตอย่างไม่ต้องสงสัย ปอดก็ทำเพียงสูดลมหายใจเข้าออก แต่สมองเป็นอวัยวะที่ดูว่าน่าจะทำหน้าที่หลายอย่างกับหลายอวัยวะ
ลักษณะทางกายภาพขนาดของสมอง สมองมีน้ำหนักเพียง 3 ปอนด์ มีลักษณะเป็นก้อนเนื่อเยื่อที่เป็นร่องๆ ไม่มีส่วนใดที่เคลื่อนไหวได้ ไม่มีรอยต่อหรือลิ้น(อย่างในเส้นเลือด) ไม่เพียงแต่ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการควบคุมระบบต่างๆของร่างกาย แต่มันเป็นเหมือนกับเราได้นั่งอยู่ในจิตใจ ความคิด ความรู้สึกสัมผัส เป็นทุกสิ่งๆทุกอย่าง ที่กล่าวว่าเรามีตับ เรามีแขนขา แต่สมองคือตัวของเรา
แนวโน้มความสนใจส่วนใหญ่ของการศึกษาค้นคว้าเรื่องนี้ มุ่งทิศทางการศึกษาเพื่อพิสูจน์ว่า เรื่องมากมายๆต่างของจิตใจเกี่ยวข้องกับสมอง เช่น มีการพิสูจน์วัดปริมาตรของสมอง โดยยุคแรกๆนั้นเป็นการวัดขนาดสมองโดยใช้วิธีของ เอ็ม ซี เอ็ชเชอร์ คือการให้มือทั้งสองมาวาดภาพต่อกัน แต่พอถึงศตวรรษที่ 19 วิธีการดังกล่าวก็เลิกใช้ เมื่อมีการเปิดเผยทฤษฎีของนักฟิสิกซ์ชาวเยอรมันที่ชือ ฟรานซ์ โจเซฟ กอลล์ เขาประสบความสำเร็จอย่างงดงามในการเปิดเผยองค์ความรู้เรื่อง การศึกษาลักษณะจิตใจจากการวัดกะโหลกศีรษะ หรือที่รู้จักกันในชื่อว่า "Phrenology" ในตอนที่เรื่องนี้ถูกเปิดเผยใหม่ๆนั้นก็เป็นที่ตื่นตัวและมีการศึกษาเรื่องนี้กันอย่างกว้างขวางทั้งในอังกฤษและสหรัฐมากเลยทีเดียว ทิศทางการศึกษาจิตใจและสมองก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่างชัดเจน ขณะเดียวกันก็ต่อยอดแสดงให้เห็นทิศทางที่เริ่มมีความเป็นวิทยาศาสตร์มากขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้การศึกษาเรื่องนี้ใหม่ๆหลังการเปิดเผยทฤษฎีดังกล่าวจะมีนักวิชาการบางท่านกล่าวว่าศาสตร์ในเรื่องนี้มีความเป็นวิทยาศาสตร์เทียมอยู่บ้างก็ตาม
ฟรีโนโลยี (Phrenology)
Phrenology มาจากภาษากรีก ที่แปลว่า จิตใจ “mind” และ ความรู้ “logos” รวมแล้วคงเป็น ความรู้ด้านจิตใจ เป็นแนวคิดทางทฤษฏีที่ได้พยายามอธิบายลักษณะเฉพาะของบุคลิกภาพที่ซ่อนอยู่ และลักษณะของความเป็นอาชญภาพบนพื้นฐานของลักษณะสรีระพื้นฐานของกระโหลกศีรษะ ถูกพัฒนาและค้นพบโดยนักฟิสิกข์ชาวเยอรมันชื่อ ฟรานซ์ โจเซฟ กอลล์ ระหว่างปี 1758-1828 เขาถือเป็นบิดาของศาสตร์ด้านฟรีโนโลยี แนวคิดนี้เป็นที่ฮือฮาและโด่งมากในศตวรรษที่ 19 (ปี 1843) ฟรานคอยซ์ แมกเจนได ได้ศึกษาต่อมาโดยกล่าวว่าการศึกษาดังกล่าวถือเป็นการศึกษาในลักษณะของ วิทยาศาสตร์เทียม อย่างไรก็ตาม phrenology ในสมัยศตวรรษที่ 19 นั้นเป็นการรวมศาสตร์ทางด้าน จิตเวชศาสตร์กับประสาทวิทยา รวมกัน ถือเป็นแนวคิดพื้นฐานที่ว่าสมองเป็นอวัยวะหนึ่งของจิตใจ และแน่นอนบริเวณสมองมีหน้าที่เฉพาะ phrenologists มีความเชื่อว่าสมอง (และลักษณะกะโหลกศีรษะ) ถูกกำหนดให้จิตใจของมนุษย์เรามีความแตกต่างกัน โดยแต่ละส่วนก็มีลักษณะทางกายภาพแตกต่างกันด้วย
Phrenology ให้ความสำคัญในการศึกษา ลักษณะเฉพาะและบุคลิกภาพ โดยเน้นถึงการวัดและศึกษาขนาดของกะโหลกศีรษะ น้ำหนัก และรูปร่าง และรวมถึงลักษณะใบหน้าของบุคคลด้วย อย่างไรก็ตามการศึกษาในเรื่องนี้ยังได้โยงเรื่องบุคลิกภาพแฝงและสติปัญญา ที่บางคนถือว่ามีความเป็นใกล้วิทยาศาสตร์มากกว่าการอธิบายด้วยวิธีอื่นๆ
ในต้นศตวรรษที่ 20 ความตื่นตัวในทฤษฎี Phrenology เป็นตัวกระตุ้นให้มีการศึกษากันอย่างกว้างขวางของวิชาอาชญวิทยา และมานุษยวิทยา การศึกษาส่วนใหญ่เกิดขึ้นในช่วงนี้และที่โด่งดังมากคือ ผลงานของจิตแพทย์ชาวเมืองลอนดอลที่ชื่อ เบอร์นาร์ด ฮอลแลนเดอร์ (ระหว่างปี 1864-1934) การศึกษาของเขามุ่งเน้นไปที่เรื่องของการทำงานของจิตใจถูกกำหนดโดยสมอง (ปี 1901) และการศึกษาจิตใจจากกะโหลกศรีษะมีความเป็นวิทยาศาสตร์มากขึ้น (ปี 1902) โดยเขาได้รวมเอาแนวการศึกษาของกอลล์มาด้วย ฮอลแลนด์เดอร์ได้เสนอว่าการวินิจฉัยในเรื่องนี้จะต้องศึกษาเกี่ยวกับกฎเกณฑ์การวัดกระโหลกศรีษะที่ยึดหลักทางสถิติด้วย
นักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ได้ศึกษาไปไกลกว่านั้น มีการศึกษาจนสามารถบอกรายละเอียดของสมองได้หลากหลายมุมมอง สามารถบอกได้ว่าในสมองนั้นประกอบไปด้วยหลายส่วน และมีชื่อเฉพาะ เช่น ไฮโปธาลามัส , caudate nucleus, neocortex เป็นต้น นอกจากนี้ยังศึกษาลึกเชื่อมโยงลงไปได้อีกถึงหน้าที่การทำงานของแต่ละส่วนที่มีความแตกต่างกัน ขณะเดียวกันก็มีการทำงานเชื่อมโชงกันอย่างน่าอัศจรรย์อีกด้วย ที่สำคัญมีรายงานการศึกษาเชิงวิจัยที่สามารถชี้ได้ว่า นี่คือความสามารถเชิงสร้างสรรค์, นี่คืออารมณ์ นี่คือเสียงพูด อีกหลายอย่าง ที่เป็นนี่และนี่และนี่ จนนับไม่ถ้วนในสิ่งที่สมองได้ปฏิบัติจนสร้างความงุนงงให้กับเรา หรือว่านี่จะเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้นเอง
ขอบเขตที่ศึกษา
วิชาประสาทวิทยาทำให้เราเข้าใจระบบประสาททั้งระบบที่รวมทั้งสมองเข้าไปด้วย จากมุมมองการคาดการณ์ทางวิทยาศาสตร์และชีววิทยา วิชาจิตวิทยาทำให้เราเข้าใจพฤติกรรมและสมอง ศาสตร์สาขาประสาทวิทยาและจิตเวชศาสตร์เป็นสิ่งได้รับการยอมรับว่าสามารถใช้อ้างอิงทางการแพทย์ของศาสตร์ทางด้านประสาทวิทยาและจิตวิทยา องค์ความรู้วิทยาศาสตร์เพื่อรวมเรื่องประสาทวิทยาและจิตวิทยาเข้าด้วยกันกับเรื่องของสมองเป็นสิ่งที่ตอบสนองซึ่งกันและกัน เช่นเดียวกับการอธิบายเรื่องของวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์กับปรัชญาเข้าไว้ด้วยกัน ฉันใดก็ฉันนั้น
การเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆที่เกิดขึ้นกับวงการวิทยาศาสตร์ในสมัยศตวรรษที่ 21 ความก้าวหน้าในเรื่องเทคโนโลยีได้เปิดสมองให้เห็นเซลล์ประสาท ซึ่งไม่เคยได้รับการยอมรับว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ก็ใกล้ความเป็นจริงมากที่สุด สมองที่เรารู้จักในปัจจุบันเป็นขุมพลังที่ควบคุมการทำหน้าที่ของอวัยวะต่างๆ อย่างไรก็ตามความไม่ชัดเจนบางอย่างที่เคยถูกมองเพียงว่าเป็นจินตนาการมาถึงบัดนี้ ในอดีตปัญหาภาวะหัวใจขาดเลือดเป็นปัญหาใหญ่ที่ไม่สามารถจะแก้ได้หรือมีทางแก้น้อย แต่ปัจจุบันเราสามารถป้องกันได้
เซลล์ประสาทเฉพาะบางอันที่ถูกค้นพบเป็นเสมือนกับกระจกเงาที่สะท้อนพฤติกรรมของผู้คนรอบๆตัวเรา และช่วยเราในการเรียนรู้ทักษะพื้นฐานบางอย่าง เช่น การเดิน การกิน หรือแม้แต่การเข้าสังคม การมีจริยธรรมของบุคคล แต่ก่อนถือเป็นความลึกลับบางอย่างกำลังจะสลายไป และได้รับการเปิดเผยให้เห็นความเป็นจริง อารมณ์ได้รับการปรุงแต่งผสมผสานกันกับประสบการณ์ที่ได้จากการเรียนรู้ กำลังเป็นที่สนใจเพื่อให้สามารถอ่านจิตใจของผู้คนได้ รวมถึงเรื่องจริยธรรมของบุคคลก็มีการเฝ้าติดตามศึกษาอยู่เช่นกัน
จิตใจและสมอง (Mind and brain)
ในประเด็นของปรัชญาทางด้านจิตใจ เราไม่สามารถแยกระหว่างสมองและจิตใจออกจากกันได้ และบางครั้งยังถูกเหมารวมว่ามีความเกี่ยวข้องกันด้วยซ้ำไป เป็นปัญหาที่ไม่สามารถแยกจากกันได้เหมือนเป็นร่างกายจิตใจ สมองคือสิ่งที่สมารถอธิบายได้โดย ภาคทางกายภาพและชีวภาพที่อยู่ในกะโหลกศีรษะ, ปฎิกิริยาตอบสนองต่างๆ, และเป็นแหล่งรวมของสารชีวเคมี อย่างไรก็ตามคำว่า จิตใจ เป็นภาพหนึ่งของคุณลักษณะทางด้านจิตประสาท เช่น ความเชื่อและความปรารถนา เป็นต้น การศึกษาเรื่องนี้ในบางศาสตร์ก็มองเรื่องของจิตใจเป็นเหมือนกับจิตวิญญาณ (soul)
ในที่สุดของเรื่องนี้ เราได้เรียนรู้บางสิ่งบางอย่างด้านสติความสำนึกในตัวเอง เป็นสิ่งที่พระเจ้าได้มอบความเป็นธรรมชาติที่จะให้เรารู้ สัมผัส กับบางสิ่งบางอย่างที่อยู่รอบตัวเรา เป็นเหมือนกับว่าเราได้จ้องมองโลกภายนอกจากห้องควบคุมที่อยู่เบื้องหลังดวงตาเรานั่นเอง ถ้าเราสามารถแยกแยะออกว่านี่เป็นแก่นของความรู้ เราก็จะสามารถควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างได้ แต่เราต้องไม่หลบลี้หนีหน้า เราควรจะซึมซับเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเราให้ได้ต่างหาก ความเป็นมนุษย์มักจะไม่พอเพียงสำหรับคำถามที่บางทีก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องตอบ สุดท้ายแล้วก็พยายามไขว่คว้าเพื่อหาในสิ่งที่เราไม่รู้เพื่อจะใช้เป็นแนวทางในการศึกษาให้รู้อย่างช้าๆก็ได้
วิธีรักษาอาการปวดศีรษะ
โรคปวดศีรษะจากความเครียด
โดย นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ
นิตยสารหมอชาวบ้าน ปีที่ 28 ฉบับที่ 336 เมษายน 2550 หน้า 28-31
โรคปวดศีรษะจากความเครียด
เป็นสาเหตุที่พบได้มากที่สุดของผู้ที่มีอาการปวดศีรษะ มักจะมีอาการปวดศีรษะต่อเนื่องนานเป็นวันๆ จนถึงเป็นสัปดาห์ หรือเป็นแรมเดือน โดยจะปวดพอรำคาญ หรือทำให้รู้สึกไม่สุขสบาย และจะปวดอย่างคงที่ ไม่แรงขึ้นกว่าวันแรกๆ ที่ปวด จัดว่าเป็นโรคที่ไม่มีอันตรายร้ายแรงแต่อย่างใด แต่จะเป็นๆ หาย ๆ เรื้อรัง
ชื่อภาษาไทย โรคปวดศีรษะจากความเครียด โรคปวดศีรษะแบบตึงเครียด
ชื่อภาษาอังกฤษ Tension-type headache (TTH), Tension headache, Muscle contraction headache, Psychogenic headache
สาเหตุ
อาการปวดศีรษะของผู้ป่วยโรคนี้เป็นผลมาจากมีการเกร็งตัว ตึงตัวของกล้ามเนื้อบริเวณศีรษะและใบหน้าซึ่งยังไม่ทราบสาเหตุและกลไกของการเกิดโรคอย่างแน่ชัด สันนิษฐานว่าเกิดจากมีสิ่งเร้ากระตุ้นที่กล้ามเนื้อและพังผืดบริเวณรอบกะโหลกศีรษะ ส่งผลให้เกิดความผิดปกติของการทำงานของระบบประสาทขึ้นตรงประสาทส่วนกลาง (อาจเป็นบางส่วนของไขสันหลัง หรือเส้นประสาทสมองคู่ที่ 5 ที่เลี้ยงบริเวณศีรษะและใบหน้า) แล้วส่งผลกลับมาที่กล้ามเนื้อรอบกะโหลกศีรษะ ทำให้เกิดการเกร็งตัว ตึงตัวของกล้ามเนื้อดังกล่าว รวมทั้งอาจมีการเปลี่ยนแปลงของสารเคมี (เช่น เอนดอร์ฟินซีโรโทนิน) ในเนื้อเยื่อดังกล่าว ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ
ส่วนใหญ่ มักพบว่ามีสาเหตุกระตุ้น ได้แก่ ความเครียด หิวข้าวหรือกินข้าวผิดเวลา อดนอน ตาล้าตาเพลีย(จากใช้สายตามากเกินไป)
นอกจากนี้ยังพบได้บ่อยในผู้ป่วยที่มีโรควิตกกังวลซึมเศร้า ความผิดปกติทางอารมณ์ หรือการปรับตัว บางครั้งอาจพบร่วมกับโรคปวดศีรษะไมเกรน
อาการ
ลักษณะเฉพาะของโรคนี้คือ ผู้ป่วยจะมีอาการปวดตื้อๆ หนักๆ ที่ขมับ หน้าผาก กลางศีรษะ หรือท้ายทอยทั้ง 2 ข้าง หรือทั่วศีรษะ หรือปวดรอบศีรษะคล้ายเข็มขัดรัด ต่อเนื่องกันนานครั้งละ 30 นาทีถึง 1 สัปดาห์ ส่วนใหญ่มักจะปวดนานเกิน 24 ชั่วโมง บางคนอาจปวดนานติดต่อกันทุกวันเป็นสัปดาห์ๆ หรือเป็นแรมเดือนโดยที่อาการปวดจะเป็นอย่างคงที่ ไม่ปวดรุนแรงขึ้นจากวันแรกๆ ที่เริ่มเป็น ส่วนมากจะเป็นการปวดตื้อๆ หนักๆ พอรำคาญหรือรู้สึกไม่สุขสบาย ส่วนมากที่อาจปวดรุนแรงจนเป็นอุปสรรคต่อการทำกิจวัตรประจำวัน
ผู้ป่วยจะไม่มีไข้ ไม่เป็นหวัด ไม่มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน หรือตาพร่าตาลาย และไม่ปวดมากขึ้นเมื่อถูกแสง เสียง กลิ่น หรือมีการเคลื่อนไหวของร่างกาย
อาการปวดศีรษะอาจเริ่มเป็นตั้งแต่หลังตื่นนอนหรือในช่วงเช้าๆ บางคนอาจเริ่มปวดตอนบ่ายๆ เย็นๆ หรือหลังจากได้คร่ำเคร่งกับงานมากหรือขณะหิวข้าว หรือมีเรื่องคิดมาก วิตกกังวล มีอารมณ์ซึมเศร้าหรือนอนไม่หลับ
การแยกโรค
อาการปวดศีรษะที่เป็นต่อเนื่องกันเป็นวันๆ ขึ้นไปควรแยกออกจากสาเหตุอื่น เช่น
1. ไมเกรน
ผู้ป่วยจะมีอาการปวดตุบๆ ที่ขมับข้างเดียว (ส่วนน้อยเป็นพร้อมกัน 2 ข้าง) คลื่นไส้ อาเจียน ตาพร่า นาน 4-72 ชั่วโมง มันจะเป็นๆ หายๆ ทุกครั้งที่มีอาการกำเริบ มักจะเกิดจากสิ่งกระตุ้น เช่น แสง เสียง กลิ่น อดนอน อดข้าว อากาศร้อนหรือเย็นจัด อาหารบางชนิด เหล้า ผงชูรส โดยมากจะเริ่มเป็นตั้งแต่วัยรุ่นหรือวัยหนุ่มสาว บางคนอาจมีอาการปวดศีรษะจากความเครียดร่วมด้วย
2. เนื้องอกสมอง
ผู้ป่วยจะมีอาการปวดทั่วศีรษะ ปวดมากเวลาตื่นนอนตอนเช้า พอสายๆ ก็ทุเลาไป ไม่ปวดต่อเนื่องทั้งวันอาการดังกล่าว จะเป็นแรงขึ้นทุกวันจนผู้ป่วยต้องสะดุ้ง ตื่นตอนเช้ามืดเพราะรู้สึกปวด และจะปวดนานขึ้นทุกวันจนในที่สุดจะปวดตลอดเวลา ซึ่งกินยาแก้ปวดไม่ทุเลา ในระยะต่อมาอาจมีอาการอาเจียน เดินเซ เห็นภาพซ้อน แขนขาอ่อนแรง ชัก ความจำเสื่อม บุคลิกภาพเปลี่ยนไปจากเดิม
3.โรคทางสมองอื่นๆ
เช่น เลือดออกในสมอง เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ผู้ป่วยจะมีอาการปวดศีรษะรุนแรงและอาเจียน ตั้งแต่วันแรกๆ ที่ปวด บางคนอาจมีไข้สูง ซึม ชัก ร่วมด้วย
4.ต้อหินชนิดเฉียบพลัน
ผู้ป่วยจะมีอาการปวดตาและศีรษะข้างเดียวอย่างรุนแรงและฉับพลันทันที ตาพร่ามัว แสบตาข้างที่ปวดจะมีสิ่งรบกวน ตาแดงๆ ตรงบริเวณตาขาว (รอบๆ ตาดำ) อาการปวดจะเป็นต่อเนื่องเป็นวันๆ ซึ่งกินยาแก้ปวดก็ไม่ทุเลา
การวินิจฉัย
แพทย์จะวินิจฉัยโรคนี้จากลักษณะอาการ และประวัติเกี่ยวกับความเครียด วิตกกังวล ซึมเศร้า นอนไม่หลับ การคร่ำเคร่งกับงาน
นอกจากมีอาการไม่ชัดเจนและสงสัยเป็นโรคเกี่ยวกับสมอง จึงจะส่งตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น การถ่ายภาพสมองด้วยคลื่นแม่เหล็ก ไฟฟ้าหรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์
ผู้ป่วยและญาติจึงควรบอกเล่าประวัติ และอาการเจ็บป่วยอย่างละเอียด เช่น ปัญหาครอบครัว (สามีมีภรรยาน้อย เล่นการพนัน การทะเลาะกัน) ปัญหาการงาน เป็นต้น ซึ่งจะเป็นสิ่งที่ช่วยให้แพทย์วินิจฉัยได้ถูกต้องและไม่หลงไปส่งตรวจพิเศษให้สิ้นเปลืองโดยไม่จำเป็น
การดูแลตนเอง
เมื่อมีอาการปวดศีรษะเพียงเล็กน้อย ควรกินยาพาราเซตามอลบรรเทา 1-2 เม็ด นั่งพักนอนพัก ใช้นิ้วบีบนวด
ควรไปปรึกษาแพทย์ ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้
• มีอาการปวดรุนแรง หรืออาเจียนรุนแรง
• มีอาการปวดมากตอนเช้ามืด จนสะดุ้งตื่น หรือปวดแรงขึ้นและนานขึ้นทุกวัน
• มีอาการเดินเซ แขนขาอ่อนแรง หรือชักกระตุก
• มีอาการตาพร่ามัว และตาแดงร่วมด้วย
• มีอาการปวดศีรษะหลังจากได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ
• ดูแลตนเอง 2-3 วันแล้วไม่ดีขึ้น
• มีความวิตกกังวล หรือไม่มั่นใจที่จะรักษาตนเอง
การรักษา
แพทย์จะให้การรักษาโดยให้ยาบรรเทาปวดร่วมกับยาคลายกล้ามเนื้อหรือยากล่อมประสาท
ถ้าพบว่ามีโรควิตกกังวลหรือซึมเศร้าร่วมด้วย ก็จะให้การรักษาภาวะเหล่านี้ไปพร้อมกัน และอาจให้การรักษาด้วยวิธีอื่นร่วมไปด้วย เช่น กายภาพบำบัด เทคนิคการผ่อนคลาย การทำจิตบำบัด การกระตุ้นประสาทด้วยไฟฟ้า การฝังเข็ม เป็นต้น
ในรายที่มีอาการกำเริบมากกว่าสัปดาห์ละ 2 ครั้งและแต่ละครั้งปวดนานมากกว่า 3-4 ชั่วโมง หรือปวดรุนแรง หรือต้องใช้ยาแก้ปวดบ่อยมาก แพทย์อาจให้ผู้ป่วยกินยาป้องกัน เช่น อะมิทริปไทลีน หรือฟลูออกซีทีนทุกวันติดต่อกันนาน 1-3 เดือน
ภาวะแทรกซ้อน
โรคนี้ไม่มีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงแต่อย่างใด นอกจากทำให้วิตกกังวล ไม่สุขสบาย และอาจสิ้นเปลืองเงินทองและเวลาในการแสวงหาบริการ ซึ่งผู้ป่วยและญาติมักคิดว่าเป็นโรคร้ายแรง จึงย้ายรงพยาบาลที่รักษาไปเรื่อยๆ
การดำเนินโรค
อาการปวดแต่ละครั้งจะเป็นนานเป็นชั่วโมงๆ จนเป็นสัปดาห์ หรือแรมเดือน เมื่อได้รับการรักษาที่ถูกต้องก็มักจะทุเลาไปได้ แต่เมื่อขาดการรักษา และมีสิ่งกระตุ้นก็อาจกำเริบได้อีก จึงมักจะเป็นๆ หายๆ ได้บ่อย
การป้องกัน
ผู้ป่วยควรป้องกันไม่ให้กำเริบโดยการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพออย่าปล่อยให้หิว อย่าคร่ำเคร่งกับงานมากเกินไป หลีกเลี่ยงการใช้สายตาจนเมื่อยล้า ออกกำลังเป็นประจำ หาทางผ่อนคลายความเครียดด้วยวิธีต่างๆ ถ้าจำเป็นควรกินยาป้องกันตามที่แพทย์แนะนำ
ความชุก
โรคนี้พบได้บ่อย คือประมาณร้อยละ 80-90 ของผู้ที่ปวดศีรษะจะมีสาเหตุจากโรคนี้
พบได้ในคนทุกวัย เริ่มเป็นครั้งแรกตั้งแต่วัยรุ่น หรือวัยหนุ่มสาว (มีโอกาสน้อยมาก ที่จะมีอาการครั้งแรกหลังอายุ 50 ปีไปแล้ว) และพบมีอาการกำเริบบ่อยในช่วงอายุ 20-50 ปี
พบว่าผู้หญิงเป็นโรคนี้มากกว่าผู้ชายประมาณ 1.5-2 เท่า
ธรรมะ เดลิเวอรี่
ธรรมะ เดลิเวอรี่ 1
ธรรมะ เดลิเวอรี่2
ธรรมะ เดลิเวอรี่3
ธรรมะ เดลิเวอรี่4
ความรู้รอบตัว99ข้อ
1.ยุงบินด้วยความเร็ว 5 ไมล์ต่อชั่วโมง...
2.ผีเสื้อบินด้วยความเร็ว 20 ไมล์ต่อชั่วโมง...
3.เส้นผมคนรับน้ำหนักได้ 3 กิโลกรัม...
4.เสียงกรนที่ดังที่สุดดังถึง 87.5 เดซิเบลล์
5.พอล แมคคาร์ที เป็นเจ้าของลิขสิทธิเพลงแฮปปี้เบิร์ดเดย์ ถ้าจะนำมาออกรายการต้องซื้อลิขสิทธิก่อน...
6.เหรียญทองโอลิมปิกต้องมีแร่เงินผสมอยู่ 92.5 เปอร์เซนต์...
7.หอเอนเมืองปิซาเอนไปทางใต้...
8. กษัตริย์หลุยส์ที่ 14 อาบน้ำทั้งหมด 3 ครั้งในชีวิต...
9.ฮิตเลอร์แสกผมข้างซ้าย...
10. ผู้หญิงที่เกาะฮาวายที่ทัดดอกไม้ที่หูข้างซ้าย แสดงว่ามีเจ้าของแล้ว...
11.เราไม่ สามารถฆ่าตัวตายด้วยการกลั้นหายใจได้...
12.ผู้หญิง 3.9 เปอร์เซนต์ไม่ชอบใส่กางเกงใน...
13.ฮิปโปผายลมทางปาก...
14.ประเทศซาอุดิอราเบียไม่มีแม่น้ำ...
15.กังหันทั้งโลกหมุนทวนเข็มนาฬิกา ยกเว้นที่ไอร์แลนด์...
16. เด็กนักเรียนอายุ15 ปีขึ้นไปในบังคลาเทศจะถูกจับเข้าคุกถ้า"โกงข้อสอบ"...
17.ปลาที่อาศัยในน้ำลึกเกิน 800 เมตร จะไม่มีตา...
18.ผมคนเราจะร่วงประมาณ 200 เส้นต่อวัน...
19.ตัว"โอ"เป็นสระที่เก่าแก่ที่สุดในอังกฤษ...
20. คนพูดประมาณ 120 คำต่อนาที
21. ฝ่ามือและฝ่าเท้าของคนเราไม่สามารถไหม้ได้...
22.เม่นชอบช่วยตัวเอง...
23.ถ้าปลาไหลไฟฟ้าอยู่ในน้ำเค็ม จะถูกช็อตตาย...
24.ขั้นบันไดในไทยจะเป็นเลขคี่...
25.เจ้าฟ้าชายชาลส์ชอบสะสมฝาโถส้วม...
26.คนมีโอกาสตายจากผึ้งต่อยมากกว่างูกัด...
27. ประเทศวาติกันมีประชากรประมาณ 1000 คน
28.เมื่อคุณจาม หัวใจคุณจะหยุดเต้นเสี้ยววินาที
29.มันเปนไปมะได้อ่ะคับ ถ้าคุณจะจามโดยไม่หลับตา
30.เดิมโคคาโคล่าเป็นสีเขียว
31.ชื่อที่โหลที่สุดในโลกคือ Mohammed
32.กล้ามเนื้อที่แข็งแรงที่สุดในร่างกายคือลิ้น
33. แต่ละโพหลังไพ่ แสดงถึงกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่จากประวัติศาสตร์ - โพดำกษัตริย์เดวิด - ดอกจิก อเล็กซานเดอร์มหาราช - โพหัวใจ ชาร์ล เลอ มาญ - ข้าวหลามตัด จูเลียส ซีซาร์
34. อนุสาวรีย์ของใครสักคนที่อยู่บนหลังม้า และม้ายกสองขาขึ้นบนอากาศแปลว่าคนนั้นตายในสงคราม
35.ถ้าม้ายกขาข้างเดียวแปลว่า เขาบาดเจ็บในสงคราม และตายจากการบาดเจ็บนั้น
36. ถ้าทั้งสี่ขาของม้าอยู่บนพื้น แสดงว่าตายโดยธรรมชาติ
37. ใน 4000 ปีที่ผ่านมา ไม่มีสัตว์ชนิดใหม่ๆที่ถูกทำให้เชื่อง
38.เชคสเปียร์ เป็นคนคิดค้นคำว่า assassination (การลอบฆ่า) และ bump ( ชน กระทบ)
39. หัวใจมนุษย์สร้างความดันเพียงพอที่จะปั๊มเลือดออกจากร่างกายไป 30 ฟุต
40. หนูสามารถสืบพันธ์ได้เร็วมาก ใน 18 เดือน หนูสองตัวจะสามารถมีทายาทมากกว่าล้านตัว
41.การใส่หูฟังแค่ชั่วโมงเดียว ทำให้แบคทีเรียในหูเพิ่มขึ้น700 เท่าตัว
42.ลิปสติกส่วนใหญ่มีส่วนประกอบของเกล็ดปลา
43.เหมือนกับลายนิ้วมือ....ลายลิ้นทุกคนต่างกัน
44.นิตยสาร time ได้ยกย่องให้คอมพิวเตอร์เป็นบุคคลแห่งปีในปีค.ศ.1982
45. สถิติจูบนานที่สุดในโลกเป็นของหลุยซา แอลเมโดวาร์ วัย 19 ปีกับแฟนหนุ่ม ริชแลงเลย์ วัย 22 ปีพวกเขาทำสถิติไว้ที่ 30.59.27 ชม.
46.ตอนที่ F4 ไปเปิดคอนเสิร์ตที่อินโดนีเซียทำให้เด็กนักเรียนเกือบ100 คน ต้องเรียนซ้ำชั้น เพราะไม่ได้ไปลงทะเบียนเรียนเทอม 2
47. บริษัทผู้ผลิตยาสีฟันดาร์ลี่เป็นเจ้าของเดียวกันกับที่ผลิตยาสีฟันคอลเกต
48.โดนั ลด์ ดักส์ ถูกแบนในประเทศฟินแลนด์ เพราะมันไม่ได้สวมกางเกงใน
49. ภาพยนต์เรื่อง nothing hill จ่ายค่าตัวจูเลีย โรเบิร์ต 15ล้านเหรียญ ( 660 ล้านบาท ) ในขณะที่พระเอกอย่างฮิว แกรนจ์รับค่าตัวเพียง 1 ล้านเหรียญ ( 45 ล้านบาท)
50.หนังอนิเมชันเรื่อง SouthPark ได้รับการบันทึกลงในหนังสือกินเนสส์บุ๊กว่าเป็นหนังอนิเมชั่น เรื่องยาวที่หยาบคายที่สุดในโลกสถิติบันทึกไว้ว่า มีการใช้คำหยาบ 399 คำ พฤติกรรมรุนแรง 221 ครั้ง และแสดงท่าทางหยาบคาย 128 ครั้ง
51.ขนมทอดกรอบตรา ปูไทย ระบุว่าไม่มีส่วนผสมของเนื้อปู
52.ในน้ำทะเล 100 ตัน จะมีทองคำอยู่ประมาณ 4 กรัม
53.จำนวนแถวของข้าวโพดในแต่ละฝักจะเป็นเลขคู่
54.จิงโจ้เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดเดียวที่เดินถอยหลังไม่ได้
57. ยุงชอบเลือดเด็กมากกว่าเลือดผู้ใหญ่
58.แมงมุมทอดรสชาติเหมือนถั่ว
59.ฟันของแมลงสาบอยู่ในท้อง
60.เม่นทุกตัวลอยน้ำได้
61.หมู มีโอกาสเป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง
62.นอกจากมนุษย์แล้ว หมีขั้วโลกและจิงโจ้ต่างก็จูบเป็น ส่วนลิงชิมแปนซีนั้นจูบแบบ "เฟรนช์คิส" ได้ด้วย
63. คนถนัดขวามีอายุเฉลี่ยยืนยาวกว่าคนถนัดซ้ายถึง 9 ปี
64.Hippopotomonstrsesquippedaliophobia คือ ชื่ออาการของคนที่หวาดกลัวคำอ่านยาวๆ
65.ผู้ที่เกิดเดือนมกราคม - มีนาคม มีแนวโน้มเป็นโรคจิตและโรคคลั่งมากกว่าเดือนอื่นๆ
66.แก้วไม่ได้เป็นของเเข็ง เเต่เปนของเหลว
67. สมองคนเราหนักประมาณ 3% ของน้ำหนักของร่างกาย แต่ใช้เลือดไปเลี้ยงถึง 15% ของเลือดทั้งหมด
68. เลือดของกุ้งมังกรเปนสีน้ำเงิน
69.อูฐสามารถหมุนหัว 180 องศา
70. รู้หรือเปล่าว่าเว็บ googleไม่ได้มีประโยชน์แค่หาข้อมูล แต่เป็นเครื่องคิดเลขได้ (ลองใส่ 5+2 หรือเลขอะไรก้อได้ในช่อง แล้วกด Search )
71.ผู้ชายมีหนวดราว 30000 เส้นทั้งชีวิต
72.คนทั้งโลกหนักรวมกัน 371017590800 กิโลกรัม
73.ใน 1ปีคนเรานำอาหารเครื่อฝดื่มเข้าร่างกายเฉลี่ย 900 กิโลกรัม
74.คนปกติมีคิ้ว 550 เส้น
75.นักวิทยาศาสตร์คำนวนเวลา 9.15 น. ของวันอังคารเป็นเวลาที่ดีที่สุดของการส่งอีแมว แล้วปลายทางจะเปิดอ่านและตอบกลับมาเร็วที่สุด
76.65% ของคนที่เปนโรคหมกมุ่นกับตัวเองมักถนัดซ้าย และมักพบว่าคนถนันซ้ายในกลุ่มของศิลปินชื่อดังระดับโลก
77. การแลบลิ้นให้น้ำลายยืดลงพื้น 3 หยด จะแก้เผ็ดได้
78.ดูดนมยางของเด็กทารกตอนนอน จะแก้อาการนอนกรนได้
79.การสูดกลิ่นตัวผู้ชาย ทำให้หายเครียดได้
80.แอปเปิ้ลผลิตกระแสไฟฟ้าได้
81.ปัสสาวะมนุษย์ ใช้ทำยาสีฟันในสมัยโบราณ
82. เพชรแท้ จะไม่ติดสีหมึก
83.การทะเลาะกันทำให้แผลหายช้า
84.แสงแดด อ่อนๆ ช่วยป้องกันโรคซึมเศร้าได้
85.การฟังเพลง ช่วยบรรเทาอาการปวดข้อได้
86.ผีเสื้อรับรสด้วยเท้าของมัน
87.เสียงร้องของเป็ดจะไม่เป็นเสียงสะท้อน (echo)
ไม่มีใครรู้ว่าทำไม
88.ในเวลา 10 นาที
พายุเฮอริเคนมีพลังมากกว่าพลังงานนิวเคลียร์
89.ช้างเป็นสัตว์ชนิดเดียวในโลกที่ไม่สามารถกระโดดได้
90.ผู้หญิงกระพริบตามากกว่าผู้ชายถึง 2 เท่า
91.ห้องสมุดที่มหาวิทยาลัยอินเดียนน่าจมลงในดิน 1
นิ้วทุกปีเพราะวิศวกรลืมคำนวณถึงน้ำหนักหนังสือ
92.หอยทากสามารถนอนหลับได้ 3 ปี!
93.ตาของเราจะขนาดเท่าเดิมตลอดตั้งแต่เกิด
แต่จมูกและหูจะไม่หยุดโต
94.เก้าอี้ไฟฟ้า(สำหรับประหารชีวิตนักโทษ)ออกแบบโดยหมอฟัน
95. หมีขั้วโลกทุกตัวจะถนัดมือซ้าย
96.สมัยอียิปต์โบราณ พระจะถอนขนทุกเส้นในตัว
รวมถึงคิ้วและขนตา โอยยย
97.ตาของนกกระจอกเทศใหญ่กว่าหัวสมองของมันซะอีก
98.คำว่า TYPEWRITER
เป็นศัพท์ที่ยาวที่สุดที่คุณจะนึกออกในแป้นพิมพ์แถวเดียวกัน
99.ปลานอนหลับโดยที่ไม่ต้องหลับตาเพราะมีสมอง 2 ส่วน ทำงานสลับกันไป คล้ายๆกับโหมด standby เปิดระบบไว้เพียงการลอยตัว และป้องกันภัย ส่วนระบบอื่นๆจะพักผ่อน
บทความที่ใหม่กว่า
หน้าแรก
สมัครสมาชิก:
บทความ ( Atom )